สำนวน สอบได้อย่างสกปรก ดีกว่าสอบตกแบบขาวสะอาด สำนวนสำหรับคนที่ทุจริตในการสอบเพื่อปลอบใจตัวเอง แม้จะทำผิด เรื่องเล่าสมัยผู้เขียนเรียนอยู่ ปวส. ที่วิทยาลัยเทคนิคแห่งหนึ่ง ไม่ขอเอ่ยชื่อวิทยาลัยละกัน การเรียน ปวส. สมัยนั้นในหนึ่งปีจะแบ่งออกเป็น 4 ภาคเรียน ภาคเรียนละ 10 อาทิตย์ ซึ่งเป็นรุ่นเดียวรุ่นแรกและนุ่นสุดท้าย ของนักศึกษาเทคนิคในสมัยนั้น ปัจจุบัน 1 ปีจะแบ่งเป็น 2 ภาคเรียน การเรียนระดับ ปวส. ถ้าตกวิชาไหนไม่มีการสอบซ่อม ต้องเรียนใหม่ ถ้าอยากจบเร็วก็ต้องหาเวลาไปเรียนวิชาที่ตกกับรุ่นน้อง ดังนั้นสมัยที่ผู้เขียนเรียนอยู่ ปวส.1 ก็จะมีรุ่นพี่มาเรียนด้วยบางวิชา 2-3คน
การสอบสมัยนั้นบอกได้เลยว่ามีการทุจริตในการสอบเกือบทุกวิชา 90เปอร์เซ็นต์ขึ้นไปตอนสอบจะทุจริตกันหมด มีหลายรูปแบบ แต่ส่วนมากจะจดสูตร หรือเก็งข้อสอบที่คิดว่าจะออก แล้วจดใส่กระดาษแผ่นเล็กๆ ซ่อนไว้เข้าห้องสอบ กระดาษที่ซ่อนเข้าไปนั้นต้องเขียนให้ตัวเล็กที่สุดเท่าที่จะเขียนได้ เพราะจะได้จดเข้าไปเยอะๆ พวกเราจะเรียกกระดาษนี้ว่า “ฝิ่น” ซึ่งนิยามของคำว่า ฝิ่น ก็คือ สิ่งใดก็ได้ที่สร้างขึ้นเพื่อประโยชน์ทางการโกงข้อสอบ ไม่ว่าจะอยู่ในลักษณะของการเขียน การพิมพ์ หรือสื่ออิเลกโทรนิกส์ ไม่จำกัดพื้นผิวที่ใช้ลอกลงไป ไม่ว่าจะเป็นผิวหนัง ผนังห้อง เรื่อยไปจนถึงอุปกรณ์ไฮเทคอื่นๆ

ตอนขณะกำลังสอบบางครั้งก็จะฝิ่นกันไปมา คือโยนหรือส่งกระดาษให้กัน แต่สำหรับผู้เขียนเองสมัยนั้นตอนสอบใช้วิธี จดใส่กระดาษแล้วแปะกับไม้โปรด้านหนึง แล้ววางคว่ำไว้ ทำแบบเนียนๆ อาจารย์คุมสอบเดินผ่านก็จะได้ไม่สงสัย และก็รอดมาทุกครั้งไป จนจบการศึกษา ปวส.

ที่เล่ามาทั้งหมดไม่ใช่ว่าจะให้ทำตาม แต่อยากแค่สะท้อนปัญหาสังคมให้เห็น ว่าระบบทุจริตมีมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว เมื่อมาทำงานจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะระบบราชการ คนที่ไม่ทุจริตคอรับชั่นก็พอมีบ้างแต่ส่วนน้อย และถ้ามีคนใดไปร้องเรียน คนคนนั้นก็มักจะถูกกลั่นแกล้งเสมอไป บางครั้งจึงต้องเอาสุภาษิต ที่ว่า เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามมาใช้ ถึงจะทำงานอย่างอยู่รอดปลอดภัย
ผู้เขียน

- ผู้ช่วยเขียนบทความ